หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

การสำรวมจิต 1:47 / 5:50 รายการถัดไป เล่นอัตโนมัติ 31:26 สำรวมทำใจให้เป็นธรรมชาติไม่ฟุ้งซ่าน แล้วจักพ้นจากวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ ดู 7 ครั้ง 52:47 2557.01.30 จิตเป็นกลาง สร้างปัญญา โดยพระอาจารย์ชยสาโร ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro ดู 5.9K ครั้ง 4:22 จิตเป็นกลางมี3ระดับ Weerayut note ดู 4.6K ครั้ง 16:58 ประวัติศาสตร์"คนอีสาน"มาจากไหน ปลดล็อค ดู 503K ครั้ง 5:51 จิตเป็นกลาง หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย ดู 79 ครั้ง 9:26 จิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต จิตไม่มีในเรา เราไม่มีในจิต Sompong Tungmepol ดู 2.1K ครั้ง 15:34 พระอรหันต์นิพพานแล้วไปไหน นิพพานสูตร คำสอนเรื่องนิพพานจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า PLODLOCK - ปลดล็อค ขอแนะนำสำหรับคุณ ใหม่ 4:30 ทุกอย่างชั่วคราวหมด จิตจะเป็นกลาง เมื่อจิตเป็นกลางคือจุดสูงสุดที่เราจะภาวนาได้ สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ ดู 53 ครั้ง 5:18 เมื่อตัวเราไม่มี สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ ไม่มีผู้เข้าชม ใหม่ 52:38 จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ นี่คือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล Sompong Tungmepol ดู 30K ครั้ง 1:42:45 24 มหาวิมุติ มหานิพพาน หลวงตามหาบัว DrSeripiput Srimuang ดู 38K ครั้ง 5:51 ศูนย์กลางของจักรวาล สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ ไม่มีผู้เข้าชม ใหม่ 3:39 ตะวัน พุทธวจน ชื่อเรื่อง นิพพานคือช่องว่างในที่คับแคบ {พุทธวจน} Buddhawajana Bn.312 Fanta Chaleeporn ขอแนะนำสำหรับคุณ 6:47 บทแผ่เมตตาให้ตนเองและอุทิศบุญกุศลให้เทวดาประจำตัวที่สำคัญอีกท่านคือเจ้ากรรมนายเวรทำบ่อยๆจะดีมากเลย namo putaya ดู 1.9M ครั้ง 35:37 รู้ด้วยความเป็นกลาง Sompong Tungmepol ดู 3.6K ครั้ง 3:39 เข้าไปให้ถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ KlomKlomFB ขอแนะนำสำหรับคุณ 1:01:53 ขุมทรัพย์อันวิเศษ Sompong Tungmepol ขอแนะนำสำหรับคุณ 52:38 ถ้าวันใดเห็นว่าจิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกาย ไม่มีเราในจิต ก็ได้ธรรมะ Sompong Tungmepol ขอแนะนำสำหรับคุณ 1:05:33 ธรรมบรรยาย ใจเป็นกลาง วางให้เป็นก็เย็นได้ (บ้านจิตสบาย กรุงเทพ 4- 9- 59) TheWatmaheyong ดู 10K ครั้ง 35:37 การฝึกจิตให้ตั้งมั่น Sompong Tungmepol ดู 34K ครั้ง จิตเป็นกลาง ใจของพระโสดาบัน ดู 35 ครั้ง 0 0 แชร์ สมพงศ์ อินดัสเตรียล อิเล็กทรอนิคส์ เผยแพร่เมื่อ 26 ส.ค. 2017 ติดตามแล้ว 1.3K คน SUBSCRIBE SUBSCRIBED UNSUBSCRIBE หลวงพ่อจะบอกแลนด์มาร์คที่สำคัญไว้นะ แลนด์มาร์คที่สำคัญก่อนจะเกิดอริยมรรคเนี่ยะ จิตจะเกิดปัญญาชนิดหนึ่ง เรียกว่า สังขารุเบกขาญานสังขารุเบกขาญาน ญานแปลว่าปัญญา มีปัญญาที่จะเป็นอุเบกขาเป็นกลางต่อสังขาร อะไรที่เรียกว่า สังขาร ความปรุงแต่งทั้งปวงเรียกว่า สังขาร ร่างกายก็ เป็นสังขารนะ ความสุข ความทุกข์ก็เป็นสังขาร ความโลภ ความโกรธ ก็เป็น สังขาร อะไร อะไร ก็เป็นสังขาร ในขันธ์ 5 นี่แหล่ะ คือ ตัวสังขารทั้งหมด ถ้าเราค่อยๆ ฝึกตามดูไปเรื่อย มีสติตามดูไป ก็จะเห็นว่าร่างกายที่หายใจออก ก็อยู่ชั่วคราว ร่างกายที่หายใจเข้าก็อยู่ชั่ว คราว ความสุข ก็อยู่ชั่วคราว ความทุกข์ก็อยู่ชั่วคราว จิตที่อยู่เฉยๆ ก็ชั่วคราวมีใครไม่สุขชั่วคราวมั๊ย มีมั๊ย มีใครสุขถาวรมีมั๊ย ไม่มีหรอก ใครทุกข์ถาวรมีไหม ไม่มี เนี่ยะเรามีสติตามดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไปนะ จะเห็นเลยว่า สุขก็ชั่ว คราว ทุกข์ก็ชั่วคราว โลภ โกรธ หลง ก็ชั่วคราว ดูไปเรื่อยนะ ในที่สุดปัญญามัน เกิด ก็จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว พอเมื่อไหร่ที่จิตมัน เห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราวจิตก็จะเริ่มเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญาเป็นกลางเนี่ยะเกิดได้หลายแบบเป็นกลางอันแรกเกิดด้วยการกดข่มไว้ เช่น ถูกเค้าด่า (ไม่โกรธนะ ไม่โกรธนะ) เป็นกลางเพราะ กดข่มเอาไว้เป็นกลางอีกอันหนึ่งเรียก ด้วยมีสติเป็นกลางอีกอย่างนึงเป็นกลางด้วย ปัญญาเป็นกลางแบบมีสติ ก็คือ เช่น เราขับรถอยู่ คนมันปาดหน้า ใจเราโมโหขึ้นมาเราเห็น เราเห็นใจเลยว่าใจเราโมโห พอเราเป็นนักปฏิบัติเนี่ยะ พอเราเห็นใจเรา โมโหขึ้นมาไม่ดี คุณแม่บอกให้เมตตา โมโหไม่ดีใช่มั๊ยเราต้องรีบไปรู้ทันใจที่ไม่ชอบ ความโกรธเกิดขึ้นแล้วใจยินร้าย ไม่ชอบตอนที่โกรธ หรือกุศลเกิดขึ้นใจเราหลงยินดีเราไม่รู้ว่ายินดี ในแง่จิตไม่เป็นกลาง ถ้าจิตยินดีเรารู้ทัน จิตยินร้ายเรารู้ทัน มันจะเป็นกลางด้วยสติแต่ถ้าเป็นกลางด้วยปัญญา ตรงนี้สำคัญมากเลย ก่อนที่จะเกิดอริยมรรคเนี่ยะ ใจจะเป็นกลางด้วยปัญญาแล้วก็จะเห็นเลยเนี่ยะว่า ความสุขก็ชั่วคราวความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลก็ชั่วคราวนะ โลภ โกรธหลง อะไรต่อมิอะไรก็ชั่วคราว ความฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว หดหู่ก็ชั่วคราว ทุกอย่างชั่วคราวหมดเลยถ้าเมื่อไหร่เห็นว่าจิตเห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว จิตมันจะเป็นกลางด้วยปัญญา ความสุขเกิดขึ้นมันไม่หลงระเริงแระ เพราะมันรู้ว่าชั่วคราว ความทุกข์เกิดขึ้นมันไม่ทุรนทุราย เพราะมันรู้ว่าชั่วคราว ดีใจ เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง มัน ไม่หลงระเริง ไม่เสียอกเสียใจเพราะมันรู้ว่าชั่วคราว เห็นมั๊ยพอมันเห็นว่าทุกอย่าง ชั่วคราวเนี่ยใจจะหมดความดิ้นรน เนี่ยะเรียกว่า เป็นกลางด้วยปัญญาก่อนที่จะเกิดอริยมรรคเนี่ยะ จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญา ก่อนที่จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญาเนี่ยะ เราจะต้องหัดเจริญสติ ตามดูความเปลี่ยนแปลงของกาย ของใจ เรื่อยไปจนปัญญามันเกิดว่าทุกอย่างชั่วคราว สุข ทุกข์ ดี ชั่ว ชั่วคราว หายใจออก หายใจเข้า ชั่วคราว ยืนก็ชั่วคราว เดินก็ชั่วคราว นั่งนอนชั่วคราว ดูไปเรื่อยๆ นะมีแต่ของชั่วคราวไปหมดเลย ….ทุกอย่างชั่วคราวนะ ดูไป ในชีวิตเรานะ ถ้าเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราวนะ ต่อไปไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจิตจะเป็นกลาง จิตที่เป็นกลางแล้วนะจะเกิดอะไร จิตจะหมด ความดิ้นรน จิตที่ไม่เป็นกลางนะมันจะดิ้นรนไม่เลิกพวกเรารู้สึกไหม จิตใจไม่มีความสุข เราอยากให้มีความสุข เราเกลียดความทุกข์ จิตที่เกลียดความทุกข์ก็ดิ้นรนนะ คิดอยู่ว่าเอ่..ทำอย่างไรจะมีความสุข หรือจิต ดิ้นรนหาความสุข จิตดิ้นรนหนีความทุกข์ การที่จิตต้องดิ้นรนหนีตลอดเวลานะคือตัวทุกข์เลย จิตจะมีแต่ความทุกข์ล้วนๆ เลย สร้างภพ สร้างชาติ สร้าง ความปรุงแต่งตลอดเวลา พวกเราเห็นมั๊ยในใจของเรามีความอยากเกิดตลอดเวลา ไปหัดดูนะ แล้วเราจะเห็นเลยใจเรามีความอยากตลอดเวลา เดี๋ยวอยากดู เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากคิด เดี๋ยวอยากหนีไปที่อื่นอย่างตอนนี้แดดร้อนแล้วอยากหนีแล้ว ถอยได้นะถอยเลย ถอยไปอยู่ข้างหลัง… แบ่งๆ กัน หรือจะเอาเสื่อ ขึ้นคลุมก็ไม่ว่านะ (โยมหัวเราะ)… จะเห็นมั๊ยตอน หัวเราะเมื่อกี้ใจฟุ้งซ่าน ดูออกมั๊ย ดูตัวเอง เนี่ยะนะฝึกรู้ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แหล่ะ ดูไปเรื่อยนะถึงจุดหนึ่งที่ปัญญามันพอเนี่ยะ จิตมันจะรวม รวมเข้าอัปปนาสมาธินะ มันรวมของมันเองนะ แล้วจะเห็นสภาวะธรรมเกิดดับอยู่สองสามขณะ แล้วถัดจากนั้นอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น จะล้างกิเลส อริยมรรคเวลาล้างกิเลส มันจะไม่เหมือนการล้างกิเลสด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยศีล ด้วยการกดไว้อริยมรรค เวลาล้างกิเลส ล้างตัวไหนแล้วล้างเลยนะ ไม่ต้องล้างอีกนะ ล้างทีเดียวสะอาดหมดจด ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว แล้วเราค่อยๆ ฝึกนะวันหนึ่งเราได้เป็นพระอริยะ อย่าวาดภาพว่าพระอริยะยากเกินไป อย่าวาดภาพว่าพระอริยะอยู่ไกล บารมีเราน้อย มัวแต่คิดว่าบารมีน้อยไม่ภาวนามันก็น้อยไปทุกชาตินั่นแหล่ะ ถึงบารมีน้อยก็ขยันภาวนานะ หายใจไปก็รู้สึกตัวไป หายใจไปรู้สึก ตัวไป มีสติรู้สึกตัวไปเรื่อย อย่าให้ลืมตัวเอง ต่อไปก็หายใจไป เห็นร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่เรา เห็นจิตใจมันทำงานได้เองนะ นี่ขั้นเดินปัญญา ง่ายๆ แค่นี้เองนะ ลองไปทำดู ไม่ยากหรอก หมวดหมู่ การศึกษา สัญญาอนุญาต สัญญาอนุญาตมาตรฐานของ YouTube แสดงน้อยลง ความคิดเห็น 3 รายการ จัดเรียงตาม Sompong Tungmepol เพิ่มความคิดเห็นสาธารณะ... Sompong Tungmepol Sompong Tungmepol 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าบอก ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐานโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระอรหันต์คือพวกไหน พระอรหันต์ คือ ท่านผู้ซึ่งไม่ยึดถือในรูปนาม/ขันธ์ ๕ ไม่ยึดถือสิ่งใดอีกแล้วทำไมท่านไม่ยึดถือเพราะท่านได้เจริญสติปัฏฐาน ท่านมีสติรู้สึกกาย ท่านมีสติรู้สึกจิตใจอยู่เรื่อยนะจนเห็นความจริงเลย ร่างกายไม่ใช่เราความสุข-ความทุกข์ ไม่ใช่เรา กิเลส ไม่ใช่เราจิตใจ ก็ไม่ใช่เรา อะไรๆ ก็ไม่ใช่เราไปหมดเนี่ยท่านก็ภาวนาไปเรื่อยเบื้องต้นจะเห็นว่า มันไม่ใช่เรานะ ได้พระโสดาบันเบื้องปลายจะเห็นเลยว่า ตัวที่มันไม่ใชเรา มันเป็นอะไร..?มันเป็นตัวทุกข์ กายนี้ เป็นตัวทุกข์ เวทนา เป็น ตัวทุกข์ความสุข-ทุกข์ เป็นตัวทุกข์ สังขาร ก็เช่นกิเลสทั้งหลาย เป็นตัวทุกข์จิต ที่ไปรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นตัวทุกข์ถ้าเห็นได้ถึงขนาดนี้ จิตจะสลัดคืนจิตให้โลก แล้วก็จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงสิ่งที่เรายึดถือเหนียวแน่นที่สุด ก็คือจิตของเรา สิ่งที่เราสำคัญมั่นหมายเหนียวแน่นว่า เป็นตัวเรามากที่สุด ก็คือจิตนี่เอง จิตนี้เป็นที่ตั้งเลย เป็นตัวใหญ่ เป็นตัวหลักเลย ถ้าเราไม่เห็นว่า จิตเป็นตัวเรา ก็จะไม่เห็นว่า สิ่งใดในโลกเป็นตัวเราถ้าเห็นความจริงแล้วว่า จิตเป็นตัวทุกข์ในโลกนี้จะเป็นตัวทุกข์ทั้งหมดเลยแล้วจิตตัวเดียวนี้เองถ้าเรารู้แจ่มแจ้ง ความพ้นทุกข์ก็จะเกิดขึ้นสลัดคืนจิตให้โลกได้เมื่อไหร่นะที่สุดแห่งทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ.มันสลัดได้จริงๆนะแต่ถ้าพวกเราหัดใหม่ๆ มันยังไม่สลัดคืนจิตให้โลก มันสลัดอารมณ์ได้ใครเคยเห็นบ้างว่าจิตปล่อยอารมณ์ได้ ยกมือให้หลวงพ่อดูซิพวกที่ฟังหลวงพ่อมาแล้ว ยกสูงๆหน่อยก็พอสมควรนะเห็นมั้ย จิตกับอารมณ์ บางทีมันก็เข้าไปจับ ใช่มั้ยบางทีมันก็ปล่อย บางทีมันก็จับ บางทีมันก็ปล่อยใครเห็นแบบนี้บ้าง ยกมือซิ มีมั้ย..? ก็เยอะแล้วนะไปหัดดูนะ สุดท้ายจะรู้เลยจิตมันจะเข้าไปจับอารมณ์ มันก็จับได้เองจะปล่อยอารมณ์มันก็ปล่อยได้เองนี่แค่ปล่อยอารมณ์สังเกตมั้ยพอจิตปล่อยอารมณ์ได้ มีความสุขเยอะแยะเลยสบายขึ้นเยอะเลย ลองคิดดูสิ ถ้าจิตมันปล่อยขันธ์ได้ มันจะสุขขนาดไหนนี่แค่ปล่อยอารมณ์นะ แสดงน้อยลง ตอบกลับ 2 Sompong Tungmepol Sompong Tungmepol 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าจิตมันปล่อยตัวมันเองได้มันจะสุขมหาศาลขนาดไหนมันสุข เรียกว่า สุขปางตายเลยนะในขณะที่อริยมรรค อริยผลเกิดขึ้นนั้นเป็นความสุขที่มหาศาลจริงๆเลยงั้นพวกเราต้องฝึกนะ สรุปให้ฟังเอาง่ายๆ เลยนะเบื้องต้น ตั้งใจรักษาศีล ๕ ไว้ก่อนศีล ๕ เป็นมาตรฐานขั้นต่ำของมนุษย์ถ้าเสียศีล ๕ ไป จิตใจจะฟุ้งซ่านอันที่ ๒พยายามฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวทำกรรมฐานขึ้นสักอย่างหนึ่งช่วงไหนที่จิตใจว้าวุ่นมาก ก็ให้จิตไปจับอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน เรียกว่าทำสมถะช่วงไหน จิตใจสงบพอสมควรแล้วก็ค่อยๆฝึก แยกไปนะ เห็นว่า ร่างกาย ก็เป็นของที่จิตไปรู้เข้าอะไรๆ ก็เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ค่อยๆฝึกไปเรื่อยนะจิตใจมันจะเป็นคนดูออกมานะค่อยๆ แยกขันธ์ไปเรื่อย ฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยการรู้ทันว่า จิตมันเคลื่อนไปเคลื่อนไปคิด เคลื่อนไปเพ่งอารมณ์ถ้ารู้ทันว่า จิตมันเคลื่อนไป จิตจะตั้งมั่น. สรุปนะ อีกทีข้อ ๑. รักษาศีล ๕ ไว้ข้อ ๒. ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวใจลอยไปแล้วรู้ ใจลอยไปแล้วรู้ ฝึกอย่างนี้นะแต่ถ้าวันไหนจิตมันฟุ้งซ่านมาก ก็เอาจิตเข้าไปจับอารมณ์ให้นิ่งๆไปเลย พักผ่อน(ทำสมถกรรมฐาน)ถ้าวันไหนมีแรง เอาแค่ว่า ใจลอยแล้วรู้ ใจลอยแล้วรู้ไปเรื่อยนะทำกรรมฐานอย่างหนึ่งนะ พุทโธไป หายใจไป แล้วใจลอยไป แล้วรู้ใจเคลื่อนไปเพ่งลมหายใจ ก็รู้ใจเคลื่อนไปเพ่งท้อง เพ่งเท้า ก็รู้เนี่ย รู้อย่างนี้เรื่อยๆ ในที่สุดจิตใจจะตั้งมั่น จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัวข้อ ๑. รักษาศีล ๕ ข้อ ๒. ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวพอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วข้อ ๓. ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงานดูด้วยจิตที่เป็นคนดูนี่แหละ จิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัวนี่แหละเห็นร่างกายมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเห็นจิตใจมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายคอยดูความเปลี่ยนแปลงของกายของใจให้มากนะดูไป ดูไปจนจิตมันหมดแรงแล้วถ้าจิตมันหมดแรงนะ ดูจิตไม่ไหว ให้ดูกายดูจิตก็ไม่ไหว ดูกายก็ไม่ไหว ทำสมถะน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ให้จิตได้พักผ่อน มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาใหม่พอจิตมีแรงขึ้นมาใหม่ กลับมาดูจิตอีก... ดูจิตได้.. ให้ดูจิต... ดูจิตไม่ได้.. ให้ดูกาย ... ดูจิตก็ไม่ได้ ดูกายก็ไม่ได้... ก็ทำความสงบไว้ (ทำสมถะ)เนี่ยฝึกอย่างนี้เรื่อยๆนะถ้าเราตั้งใจทำได้จริงๆ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เราควรจะได้อะไรบ้าง คนที่เรียนกับหลวงพ่อนะเดือนสองเดือน แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปตั้งมากมายแล้วเคยทุกข์มากก็ทุกข์น้อย เคยทุกข์นานก็ทุกข์สั้นๆอยู่ที่พวกเรานะว่า เราจะให้โอกาสกับชีวิตตัวเองรึเปล่าหรือเราจะปล่อยชีวิตตามยถากรรม เหมือนที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปีสุดท้ายมันก็หมดไป โดยที่ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไปแต่ถ้าเราหัดเจริญสติ ตั้งแต่วันนี้นะถ้าบุญกุศลเราพอ บุญบารมีเราสร้างมาพอแล้วเราอาจจะได้มรรคผลในชีวิตนี้ชีวิตเราจะไม่ตกต่ำอีกแล้ว ถ้าเกิดเรายังไม่ได้มรรคผลในชีวิตนี้ชาติต่อๆไป เราจะภาวนาง่าย สติ สมาธิ ปัญญาอะไร มันจะเกิดง่ายเลยเพราะมันเคยฝึก อะไรที่ไม่เคยฝึก ไม่เคยทำ มันยากทั้งนั้นแหละอะไรที่เคยฝึกแล้ว ทำแล้วนะ มันคุ้นจนชิน มันก็ง่ายไปหมดแหละนะ/|\ /|\ /|\#หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชวัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีแสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 12 มีนาคม 2556 แสดงน้อยลง ตอบกลับ หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง ถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะ ความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ มันเป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง พอจิตดวงเก่ามันดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆมันดับไป มันทวนกระแสเข้าหาจิตที่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้นะ คาบลูกคาบดอก ไม่ได้เกาะขันธ์แล้วนะ แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตะธาตุอมตะธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตร ข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะ ข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละนะ ถ้ามันพอเมื่อไหร่มันก็ข้ามโคตรไป เปลี่ยนสกุลไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่แล้ว ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ..งั้นเราภาวนานะ ค่อยหัดไปเรื่อย ถึงวันหนึ่งเราก็คงได้รับผลประโยชน์จากการที่เราอดทนภาวนากันนะ สวนสันติธรรม วันศุกร์ ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ แสดงน้อยลง ตอบกลับ 2 หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยธรรมชาติของจิตนี่ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้มี ๓ ภพเท่านั้น หนึ่ง กามาวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม คือหาอารมณ์เพลิดเพลินไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย นึกออกไหม อันนี้แหละเรียกว่ากามภพ เรียกให้เต็มยศนะเรียก กามาวจรภูมิ ใจก็ไปเวียนอย่างนี้ ถ้าหลุดออกจากกามภพนะ ก็เข้าไป รูปภพ หรือว่า รูปภูมิ ก็คือเข้าไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่นรู้ลมหายใจ แล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไร จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่ารูปภูมิ ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้า อรูปภูมิ ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับนามธรรม เช่นไปอยู่กับความว่าง จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะงั้นที่เค้าสอนภาวนา บางคนสอนภาวนาให้ไปอยู่ในความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง งั้นถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลยจิตมันแส่ส่ายออกทางตาหูจมูกลิ้นกายมีแต่ทุกข์ จิตไม่แส่ส่าย พอจิตไม่แส่ส่ายจิตก็หลุดออกจากกามภูมิ เข้ารูปภูมิหรืออรูปภูมิ เข้าเองเลย เพราะงั้นพวกเราหัดเจริญสติไปเรื่อย พอศีลสมาธิปัญญา สติสมาธิปัญญาแก่รอบนะ จิตจะหมดความหลงไหลรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลายมาดึงดูดจิตไหลไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ถ้าจิตมันตั้งมั่นรู้ไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้งเด่นดวงอยู่ จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ เพราะงั้นถึงเราจะเจริญสติเจริญปัญญาโดยเข้าฌานไม่เป็น ถึงนาทีสุดท้ายที่จะเกิดอริยมรรคอริยผลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตมรรคเนี่ย จิตจะเข้าฌานของเค้าเอง ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิดอริยมรรคไม่ต้องถอยออกมาอยู่ในโลกก่อนนะ ไม่ต้องกลับมาอยู่กามภูมิก่อนนะ จิตเค้าจะตัดอยู่ข้างในได้เลย นี่เป็นพวกหนึ่ง แต่รวมความก็คืออริยมรรคไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ในกามอย่างพวกเรา แสดงน้อยลง ตอบกลับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น