หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560

พระโสดาบันคติของพระอริยบุคคล วันนี้ จะได้น้อมนำเอาธรรมะเรื่อง คติของพระอริยบุคคล มาบรรยายถวายความรู้ แด่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงตา ลูกพระ ลูกเณร ลูกชีทั้งหลาย ตามสมควรแก่เวลา คติของพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ประเภท คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ย่อมต่างกันตามประเภทดังต่อไปนี้ ๑. พระโสดาบัน คำว่า พระโสดาบัน หมายความว่า ผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน เพราะได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ผ่านญาณ ๑๖ ไปได้ครั้งที่ ๑ ละกิเลสได้ ๓ ตัว คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นี้เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน ทีนี้คติของพระโสดาบัน คือถ้าได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน หากว่าอินทรีย์แก่กล้า ในเวลาประพฤติปฏิบัติ คือมีอินทรีย์ ๕ สมบูรณ์แก่กล้า ก็จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น ก็จะได้ประพฤติปฏิบัติสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าอินทรีย์หย่อน เวลาประพฤติปฏิบัติ อินทรีย์มันหย่อนไป ถ้าอินทรีย์หย่อนก็จะเกิดอีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติ แล้วก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ปรินิพพาน แต่ถ้าต่ำลงมาก็จะเกิดอีก ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติ ๖ ชาติ ก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน เมื่อได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ถือว่าสามารถทำลายกิเลสที่เป็นอปายคามินีที่จะนำไปสู่อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานได้เด็ดขาด เป็นผู้มีคติเที่ยงในการที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมหรรณพภพสงสารอีกนานเกินไป ทีนี้ ผู้ที่ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว หากว่าตอนที่จะมรณภาพ ได้สำเร็จรูปฌาน คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ก็จะได้ไปบังเกิดในพรหมโลกตามกำลังของฌาน แต่ถ้าว่าได้สำเร็จอรูปฌาน ๔ คือ อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็จะไปบังเกิดในอรูปพรหม ตามกำลังของอรูปฌาน ถ้าได้สำเร็จอรูปฌานที่ ๑ ก็ไปเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนพรหม ถ้าได้สำเร็จอรูปฌานที่ ๒ ก็ไปเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๒ คือ วิญญาณัญจายตนพรหม ถ้าได้สำเร็จอรูปฌานที่ ๓ ก็จะได้ไปเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนพรหม ถ้าได้สำเร็จอรูปฌานที่ ๔ ก็จะได้ไปเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ทีนี้ ผู้ที่ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันที่ไม่ได้ฌานจะไปเกิดที่ไหน ฌานก็ไม่ได้เหมือนรูปอื่นเหมือนคนอื่น เป็นประเภทสุกขวิปัสสกะ ได้บรรลุด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณล้วนๆ ไม่ได้ฌาน ถ้าว่าเป็นพระโสดาบันที่ไม่ได้ฌาน บางทีก็มาเกิดในโลกมนุษย์ บางทีก็ไปเกิดในเทวโลก คือในฉกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามกำลังของบุญญาธิการที่ตนได้สร้างสมอบรมไว้ พระโสดาบัน เมื่อมรณภาพแล้วจะไม่ไปสู่อบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าผู้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ถือว่ามีพระนิพพานเป็นเครื่องรองรับ จุติแล้วก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิ อันนี้เป็นคติของพระโสดาบันโดยย่อ ๒. พระสกทาคามี หมายถึง ผู้กลับมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียว สำหรับพระสกทาคามีที่ไม่ได้ฌาน บางทีก็มาเกิดในโลกมนุษย์ บางทีก็ไปเกิดในเทวโลก ในสวรรค์ ๖ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามบุญญาธิการที่ตนได้สร้างสมอบรมไว้ แต่ถ้าเป็นพระสกทาคามีที่ได้รูปฌาน ๔ ฌานใดฌานหนึ่ง ก็จะไปบังเกิดในรูปพรหมตามกำลังของฌานใดฌานหนึ่ง ถ้าพระสกทาคามีที่ได้อรูปฌาน จุติแล้วก็จะไปบังเกิดในอรูปพรหม ๔ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามกำลังของฌาน พระสกทาคามีนี้ทำลายกิเลสตัณหา(เพิ่มขึ้นจากที่โสดาปัตติมรรคทำลายแล้ว)ไม่ได้ เป็นแต่เพียงทำกิเลสที่เหลืออยู่นั้นให้เบาบางลง คือไม่มีกำลังพอที่จะทำลายกิเลสตัณหาที่เหลืออยู่ให้หมดไป แต่ถึงกระนั้นก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิ เหมือนกันกับคติของพระโสดาบัน พระสกทาคามี เมื่อจุติแล้วก็จะไปบังเกิดในสุคติภพ ภพใดภพหนึ่ง บางทีก็มาเกิดในโลกมนุษย์ บางทีก็ไปเกิดในเทวโลก บางทีก็ไปเกิดในพรหมโลก เมื่อไปเกิดในสุคติภพ ภพใดภพหนึ่ง บางทีก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภพนั้นแล้วก็ปรินิพพาน แต่เมื่อไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในภพนั้นๆ ถ้าไปเกิดในเทวโลกหรือพรหมโลก จุติแล้วก็จะมาบังเกิดในโลกมนุษย์ แล้วก็จะปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็จะปรินิพพาน แต่ถ้ามาเกิดในโลกมนุษย์เรานี้แล้วยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะกลับไปบังเกิดในเทวโลกอีกครั้งหนึ่ง ก็จะได้บรรลุพระนิพพาน แต่ถ้าพระอริยบุคคลที่ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามีอยู่ในเทวโลกก็ดี หรือว่าในพรหมโลกก็ดี ทั้งที่เป็นรูปพรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี เมื่อไปเกิดในสุคติภพนั้น ก็ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีในเทวโลก แต่ว่าไม่สำเร็จมรรคผลนิพพานขั้นต่อไป จุติจากเทวโลกแล้วก็มาเกิดในมนุษย์โลกของเราอีก เมื่อเกิดในมนุษย์ก็ยังไม่ได้บรรลุ จุติแล้วก็จะไปเกิดในเทวโลกหรือพรหมโลกอีก เมื่อเกิดแล้วก็จะได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ปรินิพพานในเทวโลกหรือในพรหมโลกนั้นๆ ๓. พระอนาคามี แปลว่า ผู้ไม่เวียนกลับมาเกิดอีก คือผู้ไม่ไปสู่กามภพอีก คือหมายความว่า เมื่อได้เป็นพระอนาคามีแล้วก็ถือว่าเป็นภพสุดท้าย จุติแล้วจะไม่ไปเกิดในมนุษย์โลกหรือเทวโลก แต่จะไปบังเกิดในรูปพรหมหรืออรูปพรหมตามกำลังของฌาน พระอนาคามีนี้ สามารถทำลายกิเลสตัณหาเพิ่มต่อจากพระโสดาบันอีก ๒ ประการ คือ ๑) ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ๒) กามราคะ ความพอใจความกำหนัดในกามจะหมดไป คือกามราคะความคิดอยากมีลูก มีเมีย มีผัว มีครอบครัว มันหมดไปแล้ว ไม่คิดจะสร้างครอบครัวอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าผู้ที่สำเร็จพระอนาคามีในขณะเป็นฆราวาสก็จะอยู่เหมือนกันกับพระกับเณร จะไม่มีการร่วมสังวาสกัน สามีภรรยาจะเป็นเหมือนกันกับพ่อกับลูกอยู่ด้วยกัน เหมือนแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน จะไม่มีการร่วมสังวาส เพราะกามราคะมันหมดไปแล้ว และปฏิฆะก็หมดไปแล้ว คือหมดไปทั้งความโกรธ หมดไปทั้งราคะ นี้เป็นกิเลสที่พระอนาคามีละได้ ทีนี้ ถ้าเป็นพระอนาคามีที่ได้ฌาน ก็จะไปเกิดในพรหมโลกตามกำลังของฌาน พระอนาคามีนั้นจะไม่ไปเกิดในรูปพรหมชั้นต่ำๆ แต่จะไปเกิดในสุทธาวาสพรหมชั้นเบื้องบนชั้นใดชั้นหนึ่ง คือไปเกิดในชั้นอวิหา ชั้นอตัปปา ชั้นสุทัสสา ชั้นสุทัสสี หรือชั้นอกนิฏฐา ทั้ง ๕ ชั้นเหล่านี้ ชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อไปเกิดในแต่ละชั้นๆแล้ว ก็จะได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในชั้นนั้นๆ บางองค์ที่ไปเกิดในชั้นที่ ๑ คือชั้นอวิหาแล้ว ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะเลื่อนชั้นขึ้นไปๆ แต่จะเลื่อนไปถึงชั้นใดๆก็ตาม เมื่อไปถึงชั้นอกนิฏฐาแล้ว ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ปรินิพพาน (จะไม่มีการเลื่อนชั้นต่อไปอีก) ส่วนพระอนาคามีที่ได้อรูปฌาน ๔ จุติแล้วก็จะไปเกิดในอรูปฌานตามกำลังของฌาน ทีนี้สำหรับพระอนาคามีที่ไม่ได้ฌานจะทำอย่างไร พระอนาคามี เมื่อไม่ได้ฌานจะไปบังเกิดในสุทธาวาสพรหมได้อย่างไร เพราะว่าผู้ที่จะไปเกิดในสุทธาวาสพรหมนั้นต้องได้ฌานจึงจะไปเกิดได้ ถ้าไม่ได้ฌานก็ไม่สามารถที่จะไปเกิดในชั้นสุทธาวาสพรหมได้มิใช่หรือ อันนี้ ถึงแม้ว่าพระอนาคามีจะเป็นประเภทสุกขวิปัสสกะก็ดี ประเภทที่ไม่ได้ฌานก็ดี หากว่าท่านจะจุติจากอัตภาพนี้ มรรคสิทธิญาณก็จะเกิดขึ้นก่อน เมื่อมรรคสิทธิญาณเกิดขึ้นแล้วก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดฌาน เมื่อฌานเกิดแล้วก็ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมตามกำลังของฌาน อันนี้ไปด้วยอำนาจของมรรคสิทธิญาณ พระอนาคามีนั้น ในคราวที่จะมรณภาพนั้น จะมรณภาพอย่างไรก็ตาม หากว่ามรรคสิทธิญาณไม่เกิดแล้ว ท่านจะไม่มรณภาพ สมมติว่าในขณะนั้น พระอนาคามี เครื่องบินตก ตกต้นไม้ รถคว่ำ ถูกคนยิง หรือถูกยาพิษ หรือประสบอุบัติเหตุโดยประการใดประการหนึ่งก็ตาม หากว่ามรรคสิทธิญาณไม่เกิด ท่านจะไม่มรณภาพ เมื่อใดมรรคสิทธิญาณเกิดแล้วท่านจึงจะมรณภาพ คือเมื่อมรรคสิทธิญาณเกิดขึ้นมา มรรคสิทธิญาณก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยเป็นพลังส่งต่อให้เกิดฌาน และฌานนั้นก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมตามกำลังของฌานที่ตนได้ เมื่อไปเกิดในสุทธาวาสพรหมแล้ว ก็จะได้บำเพ็ญพระวิปัสสนากัมมัฏฐานจนได้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ปรินิพพาน นี้เป็นคติของพระอนาคามี ๔. พระอรหันต์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึง คือพระอรหันต์นั้นท่านละกิเลสได้ทุกอย่าง คือกิเลสที่เหลืออยู่ ๕ ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ท่านละได้หมดแล้ว สรุปสั้นๆว่า พระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ท่านก็ละได้หมดแล้ว จะเป็นสังโยชน์ ๑๐ ท่านก็ละได้หมดแล้ว หรืออนุสัย ๗ ประการ ท่านก็ละได้หมดแล้ว หรือพูดเอาสั้นๆว่า พระอรหันต์นั้น ท่านละกิเลสได้ทุกอย่าง เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว อรหัตตมรรคนั้นก็สามารถที่จะประหารกิเลสทุกสิ่งทุกประการที่เหลืออยู่ให้หมดไปสิ้นไป ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะเหลืออยู่ หรือยังค้างในจิตในใจอยู่ หรือยังมีให้เห็นในจิตในใจอยู่เลย และกิเลสเหล่าใดที่ละได้แล้ว ก็จะละได้เด็ดขาด ไม่กลับคืนมาอีก เพราะว่าพระอรหัตตมัคคญาณนั้น เป็นประเภท วชิรูปมาธรรมะ คือเป็นธรรมะอุปมาด้วยขวานฟ้า ธรรมดาว่าขวานฟ้าหรือว่าสายฟ้า ถ้าว่าฟาดลงต้นไม้ต้นใด ต้นไม้ต้นนั้นก็ดับไป ต้นไม้ต้นนั้นก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นอีก อันนี้ฉันใด คติของพระอรหันต์ก็ฉันนั้น เมื่ออรหัตตมรรคเกิดขึ้นแล้ว กิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงก็จะดับไป สิ้นไป สูญไป จากสันดาน ด้วยอรหัตตมรรคอรหัตตผล เมื่อท่านดำรงชนมายุอยู่จนถึงอายุขัยแล้วก็จะเข้าสู่ปรินิพพานไปเลย นี้เป็นคติของพระอรหันต์ พระอรหันต์นั้น เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ จะให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ เจริญเมตตาภาวนา เจริญทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา อันมีอานิสงส์เป็นอเนกประการก็ตาม กำลังบุญทั้งหลายทั้งปวง และอานิสงส์ของบุญทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น ก็ไม่สามารถที่จะนำท่านไปเกิดในภพในภูมิต่างๆได้ เพราะเวลาท่านให้ทาน ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ เจริญเมตตาภาวนา เจริญสมถะเจริญวิปัสสนาก็ตาม ก็เป็นแต่สักว่าเพียงกิริยา คือเป็นเพียงสักแต่ว่าทำ เพราะว่า พระอรหันต์นั้น ท่านพ้นแล้วจากบุญจากบาป พ้นแล้วจากภพทั้งหลายทั้งปวง จึงไม่มีโอกาสที่จะไปสู่ภพทั้งหลายทั้งปวงได้ สมมติว่าท่านเข้าฌาน จะเป็นฌานใดฌานหนึ่งก็ตาม หรือจะเข้าทั้งสมาบัติ ๘ ประการได้ก็ตาม การเข้าฌานการเข้าสมาบัติของท่านก็เป็นแต่สักว่ากิริยา อานิสงส์ของการเข้าฌานก็ไม่สามารถที่จะนำท่านไปเกิดในรูปพรหมและอรูปพรหมได้อีก การเข้าฌานของท่านก็เป็นแต่เพียงสักว่ากิริยา สมมติว่าท่านได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน (ตามธรรมดาบุคคลอื่นๆ เมื่อ) จุติแล้วก็ต้องไปเกิดในรูปพรหมตามกำลังของฌาน แต่(พระอรหันต์นี้)หาเป็นเช่นนั้นไม่ อานิสงส์ของการเข้าฌานก็ไม่สามารถที่จะนำท่านไปเกิดในรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่งได้เลย หรือว่าท่านได้สำเร็จอรูปฌาน ๔ แล้ว คือตามคติของอรูปฌาน ๔ ผู้ที่ได้จุติแล้วต้องไปเกิดในอรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่งตามกำลังของฌาน แต่สำหรับพระอรหันต์นั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะการเข้าอรูปฌานของท่านก็สักแต่เพียงกิริยา ให้ได้รับความสุขในภพนี้ชาตินี้เท่านั้น จุติแล้วฌานนั้นก็ไม่สามารถที่จะนำท่านไปเกิดในอรูปพรหมภูมิได้ เพราะพระอรหันต์นั้นท่านดับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือดับทั้งรูป ดับทั้งนาม ดับทั้งกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาเหล่าใดที่จะนำไปสู่ภพสู่ชาติ กิเลสตัณหาเหล่านั้นไม่สามารถที่จะนำท่านไปสู่ภพสู่ชาติได้ พูดง่ายๆว่า พระอรหันต์ท่านดับหมดแล้ว ดับทั้งบุญดับทั้งบาป พ้นทั้งบุญพ้นทั้งบาปทั้งหลายทั้งปวงแล้ว พ้นจากภพทั้งหลายทั้งปวงได้หมดแล้ว เหตุนั้น พระอรหันต์นั้น เมื่อท่านดำรงอยู่จนถึงอายุขัยแล้วท่านก็ปรินิพพาน เหมือนกันกับประทีปที่หมดเชื้อแล้วดับไป คือเหมือนเทียนที่เราจุดแล้ว หมดเชื้อแล้วก็ดับไป คติของพระอรหันต์ก็เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น